สารจากประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

ผลการดำเนินงานของบริษัทในปีที่ผ่านมาในภาพรวม ทางบริษัทได้รับผลสำเร็จจากการดำเนินแผนงานตามกลยุทธ์ที่ได้วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินธุรกิจโดยเน้นด้านพลังงานทดแทน และการสร้าง value added product ต่าง ๆ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ประโยชน์จากการเข้ามาลงทุนปริมาณมากในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ทำให้บริษัทได้ประสบความสำเร็จในการลงนามสัญญาเพื่อบริหารจัดการน้ำในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งประเทศไทยและเวียดนาม ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนของทางบริษัท ซึ่งลูกค้าเหล่านี้ เป็นลูกค้าที่มีความต้องการสาธารณูปโภคไม่ว่าจะเป็นน้ำ หรือ ไฟฟ้าพลังงานทดแทนเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้นำเอาเทคโนโลยีมาเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน ลดต้นทุน ลดการสูญเสีย และเพิ่มความสามารถในการบริการลูกค้าให้ดีขึ้น ทั้งนี้ บริษัทไม่ได้ละเลยถึงการเตรียมพร้อมในการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ทางบริษัทสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกรูปแบบและรวดเร็วในสถานการณ์การแข่งขันที่ต้องการความแตกต่างในขณะนี้

ทั้งนี้ ในด้านผลประกอบการ ถึงแม้ว่าในปีที่ผ่านมาจะมีความท้าทาย แต่บริษัทยังคงสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งได้ ในด้านของธุรกิจสาธารณูปโภค บริษัทมีปริมาณยอดจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวมที่ 166 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโต 7% เมื่อเทียบกับปีก่อน แบ่งเป็นปริมาณยอดจำหน่ายน้ำในประเทศ 129 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 6% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของยอดขายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Water) ที่เติบโตถึง 39% ขณะที่ในประเทศเวียดนามมีปริมาณยอดขายและบริหารจัดการน้ำอยู่ที่ 37 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 10% จากการเติบโตของยอดจำหน่ายน้ำของโครงการ Duong River Surface Water Plant JSC (SDWTP) บริษัทยังคงมุ่งเน้นการขยายการให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Data center ที่มีปริมาณความต้องการใช้น้ำสูง และมุ่งเน้นการผลิตน้ำที่มีมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Water) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อขายน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) กับลูกค้าในปริมาณ 3.5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี คิดเป็นมูลค่าสัญญารวมตลอดอายุสัญญากว่า 1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นในการหาแหล่งน้ำดิบทดแทน เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านการจัดหาน้ำ และรองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า รวมทั้งมองหาโอกาส ในการขยายธุรกิจสาธารณูปโภคในพื้นที่นอกนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ

ในส่วนของผลการดำเนินงานด้านธุรกิจพลังงาน จากการได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอในด้านธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ส่งผลให้ในปี 2567 บริษัทได้ลงนามในสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) เพิ่มรวมทั้งสิ้น 76 สัญญา คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 106 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีสัญญาโครงการ Private PPA สะสมรวม 290 เมกะวัตต์ และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมสะสมตามสัดส่วนการถือหุ้นจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทเพิ่มเป็น 965 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้ว 701 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา 264 เมกะวัตต์ โดยบริษัทยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ และทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการโซลาร์รูฟท็อป โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff นอกจากนี้ บริษัทยังเน้นให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่ทางบริษัทจะลงทุนในลักษณะ solar farm และลงทุนสายส่งไปยังลูกค้าซึ่งเป็นลักษณะโครงการ Direct PPA ซึ่งโครงการเหล่านี้ จะทำให้ ทางบริษัทจะมีความเสี่ยงที่น้อยลงและมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น

ทางด้านผลประกอบการทางการเงินในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติรวม 3,959 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,119 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Normalized Net Profit) 1,118 ล้านบาท โดยมีมูลค่าสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 เท่ากับ 31,247 ล้านบาท และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.1 เท่า

บริษัทมุ่งมั่นนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานรวมถึงศักย์ภาพในการแข่งขัน ลดต้นทุน และขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Tech-Driven Organization) อาทิเช่น การนำปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) มาใช้พัฒนา Smart Water Solutions สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภคเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และลดการสูญเสียน้ำ หรือในกรณีของธุรกิจไฟฟ้า บริษัทได้นำ AI มาใช้พัฒนาระบบ Solar Anomaly ที่สามารถตรวจจับและแจ้งเตือนโอกาสที่จะเกิดความผิดปกติของแผงโซลาร์ได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้สามารถบำรุงรักษาและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และระบบ Solar Forecasting ซึ่งช่วยคาดการณ์ปริมาณการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และการวางแผนซ่อมบำรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทยังพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer (P2P Energy Trading) รวมถึงการซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (I-REC) ซึ่งช่วยส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กร รวมถึงบริษัทยังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลังงานแห่งอนาคต อาทิเช่น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) เป็นต้น

นอกจากนี้ จากความตั้งใจในการการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ในปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ที่ระดับสูงสุด “AAA” เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล “คนดี รักษ์โลก” จากวุฒิสภา และได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน ESG Emerging List ปี 2567 และทำเนียบ ESG100 จากสถาบันไทยพัฒน์ รางวัลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแผนการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) และธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และยึดหลักธรรมาภิบาล (ESG) ตอบโจทย์การลงทุนที่สร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว

สุดท้ายนี้ ในนามของคณะผู้บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ผมขอขอบคุณผู้ถือหุ้น ลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจที่ไว้วางใจและให้การสนับสนุนบริษัทมาโดยตลอด ตลอดจนคณะกรรมการบริษัท คณะผู้บริหาร และพนักงานทุกท่าน ที่ให้การสนับสนุนและร่วมมือร่วมใจในการขับเคลื่อนองค์กรไปด้วยกัน บริษัทจะมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายต่อไป